วันศุกร์ที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2554

วิธีดูแลระบบขับถ่ายให้ดี


ท้องผูกเป็นอาการที่เกิดจากโรคหรือความผิดปกติหลายอย่าง อาการนี้ดูไม่ร้ายแรง แต่ใครไม่เจอกับตัวเอง ไม่รู้หรอกครับว่ามันทรมานแค่ไหน..ใส่ใจกับเรื่องกินเรื่องอยู่กันสักนิด แล้วจะถ่ายสบายแฮ

ท้องผูก..ได้อย่างไรนะ

สาเหตุของอาการท้องผูกที่พบบ่อย ได้แก่ การขาดการออกกำลังกาย ดื่มน้ำน้อย กินผักผลไม้น้อย หรือดื่มชา กาแฟ ซึ่งมีสารทำให้ท้องผูก บางคนมีความวิตกกังวลสูง หรือเศร้าซึมเป็นอาจินต์ ก็มักมีอาการท้องผูกด้วย นอกจากนั้นโรคของระบบทางเดินอาหาร เช่น มะเร็งลำไส้ใหญ่ ริดสีดวงทวาร หรือแผลแตกบริเวณปากทวารหนักก็ทำให้เกิดอาการท้องผูกได้เช่นเดียวกัน

มะเร็ง..ก็ทำให้ท้องผูก

โรคระบบทางเดินอาหารที่น่ากลัว และทำให้เกิดอาการท้องผูกได้ คือ มะเร็งลำไส้ใหญ่ ซึ่งมักพบในผู้ที่มีอายุมากกว่า 50 ปีขึ้นไป และมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น ท้องผูกสลับกับท้องเดินเป็นระยะๆ และเรื้อรัง ถ่ายเป็นเลือด น้ำหนักตัวลดลงอย่างรวดเร็ว เบื่ออาหาร หรือคลำพบก้อนบริเวณท้อง ซึ่งถ้าใครมีอาการแบบนี้ควรปรึกษาแพทย์โดยด่วนครับ
ริดสีดวงทวาร..ตัวการหนึ่งของท้องผูก

ส่วนโรคระบบทางเดินอาหารที่ไม่น่ากลัวและพบมากในปัจจุบัน ได้แก่ ริดสีดวงทวาร ซึ่งอาจเป็นผลของอาการท้องผูก และกลายเป็นเหตุของอาการท้องผูกตามมา เรียกว่าเป็นวงจรก็ได้ ส่วนใหญ่แล้วผู้ป่วยมักจะกลัวการถ่ายอุจจาระ เพราะเจ็บเวลาถ่าย จึงมักกลั้นอุจจาระไว้ นานๆ เข้าก็เกิดอาการท้องผูกตามมา จึงควรแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ คือ นั่นคือรักษาโรคริดสีดวงทวารเสีย

5 วิธีเพื่อความโล่งสบายคลายทุกข์

1.ออกกำลังกาย..หนึ่งสอง..หนึ่งสอง
การออกกำลังกายทำให้ส่วนต่างๆ ของร่างกายได้เคลื่อนไหว รวมทั้งทำงานได้ดีขึ้น เช่น หัวใจสามารถสูบฉีดโลหิตได้เร็วและแรงมากขึ้น กระเพาะอาหารและลำไส้ขยับเคลื่อนไหวได้ดีขึ้น ทำให้อาหารที่เรากินสามารถส่งผ่านไปได้ง่ายและสะดวก ผู้ที่ออกกำลังกายเป็นประจำมักจะถ่ายปกติ ตรงข้ามกับผู้ที่นั่งทำงานทั้งวัน ลำไส้ก็ลอยอยู่นิ่งไปด้วย กากอาหารก็จะค้างและจับตัวเป็นก้อนแข็งได้ง่าย อาการท้องผูกก็จะตามมา

2.ผักผลไม้..อย่าให้ขาด
อาหารที่มีกากใยสูง เช่น ผัก ผลไม้ จะช่วยกระตุ้นให้ลำไส้บีบตัวได้ดี กากอาหารสามารถขับถ่ายออกมาได้ง่ายและสม่ำเสมอ เพราะมีกากใยเป็นตัวกระตุ้น ผู้ที่มีอาการท้องผูก จึงควรทานผักผลไม้ที่มีกากใยสูง เช่น ฝรั่ง มะละกอ ผักต่างๆ แต่ที่น่ากังขา ได้แก่ น้ำผลไม้คั้นต่างๆ ที่โฆษณาว่าสามารถรักษาอาการท้องผูกได้ เพราะมีแต่น้ำแต่ไม่มีกากใย หรือมีก็น้อยมาก จะไปรักษาได้อย่างไร?

3.ดื่มน้ำมาก..กากอาหารอ่อนตัว
การดื่มน้ำน้อยเกินไป ทำให้กากอาหารในลำไส้ใหญ่แข็งตัว และจับกันเป็นก้อน จึงขับถ่ายออกได้ยากกว่าปกติ เราควรดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว และในผู้ที่ท้องผูกอยู่แล้ว ควรเพิ่มปริมาณน้ำดื่มให้มากกว่าปกติ จะช่วยให้กากอาหารอ่อนตัวลงได้ สิ่งที่ควรงดดื่ม คือ น้ำชา กาแฟ เพราะมีสารที่ทำให้ลำไส้บีบตัวน้อยลง จึงทำให้เกิดอาการท้องผูก

4.ฝึกขับถ่ายให้เป็นนิสัย
หากไม่อยากมีท้องผูกเป็นแขกไม่ได้รับเชิญ ควรเริ่มฝึกถ่ายให้เป็นนิสัย และไม่ควรรีบเร่งถ่าย โดยอ้างว่ามีเวลาน้อย ต้องรีบไปทำงาน ห้องน้ำก็ควรเลือกที่ปลอดโปร่งสักหน่อย ประเภทมีคนยืนรอคิวอยู่หน้าห้องน้ำยาวไปถึงหน้าบ้าน ก็ลำบากไปหน่อย..มันฝืดน่ะ

5.น้ำ 1 แก้วเพื่อความคล่องสบาย
ตื่นเช้า ก่อนเข้าห้องน้ำถ่าย ควรดื่มน้ำก่อน 1 แก้ว เพื่อกระตุ้นให้ลำไส้บีบตัวจะได้ถ่ายสะดวกขึ้น น้ำใสๆ 1 แก้วในตอนเช้า ยังช่วยให้เกิดความสดชื่น เหมือนดอกไม้บานยามเช้ายังไงยังงั้น

ถ้าลองทุกวิธีที่กล่าวมาแล้วไม่ได้ผล ค่อยใช้ยาระบายซึ่งมีหลายชนิดและออกฤทธิ์ต่างกัน ก่อนใช้ยาระบายควรปรึกษาแพทย์จะดีที่สุด

อย่าทำให้ลูกต้องท้องผูก

ในเด็กเล็กๆ ที่ถูกบังคับให้นั่งกระโถน บางรายอาจมีอาการท้องผูกได้ เพราะเป็นปฏิกิริยาต่อต้านการถูกบังคับ พ่อแม่จึงควรนึกเสมอว่าเด็กๆ ก็มีหัวใจ และควรพบกันครึ่งทาง คือ ฝึกให้ลูกนั่งกระโถนถ่ายเมื่อเขาพร้อม อาจต้องให้รางวัลจูงใจกันบ้างตามสมควร ที่สำคัญควรฝึกถ่ายให้เป็นเวลาด้วย

ในทารกหรือเด็กเล็กอาจสวนด้วยแท่งกลีเซอรีน ไม่ควรใช้ยาระบายหรือยาสวนเป็นประจำ เพราะทำให้ท้องผูกเป็นนิสัย จนต้องสวนทุกครั้ง หากอาการท้องผูกไม่หายภายใน 2 สัปดาห์ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อ
การรักษาที่ถูกต้องต่อไป

จาก:นิตยสาร Modern Mom

ล้างพิษในตับ ด้วยอาหาร

ล้างพิษในตับ

เป็นที่รู้กันดีอยู่แล้ว ว่า ตับ เป็นอวัยวะที่ทำหน้าที่ขับสารพิษออกจากร่างกาย ดังนั้น การทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพตับเป็นประจำจะช่วยแบ่งเบาภาระให้ตับได้ ซึ่งการที่ตับทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพย่อมส่งผลให้ร่างกายมีพลังมากขึ้น

นอกจากหน้าที่ในการขับสารพิษแล้ว ตับยังช่วยในกระบวนการย่อยอาหารและเปลี่ยนสารอาหารให้เป็นพลังงาน เมื่อร่างกายต้องการตับที่แข็งแรงจะส่งผลให้มีสุขภาวะที่ดี เพราะตับช่วยลดการติดเชื้อ โดยช่วยขจัดของเสียออกจากร่างกาย เราจึงต้องดูแลตับด้วยการเลือกทานอาหารที่มีประโยชน์เสียแต่วันนี้

อาหารอันดับต้นๆ ที่ช่วยตับในการล้างพิษได้แก่ กระเทียม หัวหอม มะนาว ผักใบเขียว ดอกกะหล่ำและกะหล่ำปลี เพราะจะทำให้สารพิษที่เจือปนมากับอาหารอื่นนั้นมีสภาพเป็นกลาง นอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มการผลิตน้ำดีซึ่งช่วยทำความสะอาดกระเพาะอาหารและลำไส้ รวมถึงช่วยกระตุ้นให้ลำไส้มีการขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว

ผลไม้ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูงได้แก่ องุ่น ส้ม แคนตาลูป มะละกอ พรุน ลูกเกด ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่จะช่วยปกป้องตับจากสารอนุมูลอิสระที่จะมีปริมาณสูงขึ้นในกระบวนการขับสารพิษออกจากร่างกาย

นอกจากนี้อาหารที่มีวิตามินบีสูงอย่างธัญพืชที่ไม่ขัดสีต่างๆ และผักผลไม้ที่อุดมไปด้วยวิตามินซี อย่างพืชที่มีรสเปรี้ยวและผักใบเขียวทั้งหลาย จะช่วยในกระบวนการล้างพิษของตับ ส่วนอาหารที่เป็นพี่เลี้ยงช่วยเสริมประสิทธิภาพการทำงานของตับ ได้แก่ “เลซิติน” ซึ่งมีมากในไข่แดง ถั่วเหลือง ข้าวโอ๊ต กะหล่ำปลี กะหล่ำดอก เนื้อปลา ส่วน “ธาตุสังกะสี” ที่มีมากในเนื้อสับ ถั่วขาว เนื้อไก่และหอยนางรมก็ช่วยให้ตับทำหน้าที่ได้ดีขึ้น

หากจะดูแลรักษาตับอย่างเห็นผลก็ไม่ควรทานอาหารที่มีไขมันสูง เพราะตับสามารถผลิตคอเลสเตอรอลได้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายอยู่แล้ว สิ่งสำคัญในการป้องกันอันตรายให้แก่ตับ และเพื่อหลีกเลี่ยงโรคตับแข็ง ก็ควรหลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์เพื่อให้อวัยวะหนึ่งเดียวนี้ช่วยขับพิษให้ ร่างกายได้อีกนาน

วันพุธที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2554

เคล็ดลับช่วยสุขภาพดีด้วยการงดทานอาหารเย็น

อาหารเพื่อสุขภาพ
งดอาหารเย็นเพื่อสุขภาพ

ปัจจุบันมีจำนวนประชากรผู้สูงอายุร้อยละ 10 ของประชากรทั้งหมด และมีการคาดคะเนว่าในอีก 13 ปีข้างหน้า จะมีผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 17 จากสถิติดังกล่าว ยืนยันว่าอีกไม่กี่ปีข้างหน้าสังคมไทยจะกลายเป็นผู้สูงอายุ เพื่อเตรียมพร้อมให้ผู้สูงอายุเป็น "ผู้สูงวัยที่มีคุณภาพ" สภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทยฯ โดยคณะกรรมการพัฒนาผู้สูงอายุจึงจัดเสวนาเรื่อง "เวทีแลกเปลี่ยนความคิด ใช้ชีวิตเมื่อสูงวัย" ที่สภาสังคมสงเคราะห์ฯ

ศ.นพ.เสก อักษรานุเคราะห์ ผู้อำนวยการศูนย์เวชศาสตร์ฟื้นฟู สภากาชาดไทย ได้เผยเคล็ดลับสุขภาพดีที่ปฏิบัติมานับสิบปีจนตอนนี้อายุ 74 ปีว่า ยึดทางสายกลาง ไม่จำเป็นต้องมีสุขภาพดีเลิศ แค่ดูแลร่างกายให้ไม่เจ็บป่วยก็พอ ด้วยการไม่รับประทานอาหารเย็น และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ โดยออกกำลังกายเบาๆ อย่างต่อเนื่องไม่หยุด 30 นาที เพียงแค่นี้จะช่วยลดประมาณน้ำตาลในเลือดและไขมันทุกชนิดได้

" ร่างกายคนเรารับประทานอาหารแค่ 2 มื้อ เหมือนอย่างที่พระพุทธเจ้าบัญญัติไว้ คือเช้ากับเที่ยงก็พอ เพราะกินมากกว่านั้นมันเกินความต้องการของร่ายกาย ซึ่งตลอด 40 ปีที่ผมไม่กินข้าวเย็นจนถึงตอนนี้สุขภาพยังคงแข็งแรงดี ทำอะไรได้ทุกอย่าง ทั้งทำงาน ออกกำลังกาย ผมเดินวันละ 3-5 กิโลเมตร เล่นเทนนิสได้ การไม่กินอาหารเย็นเป็นการฝึกฝนให้เราชนะใจตัวเอง รู้จักพอเพียงกับชีวิต และตัดกิเลสได้"

ศ.นพ.เสกแนะ นำวิธีฝึกตนให้งดอาหารเย็นง่ายๆ จากประสบการณ์ของตนเองว่า ค่อยๆ ลดปริมาณอาหาร ส่วนตอนค่ำถ้าหิวก็ดื่มน้ำ ฝึกอย่างนี้ประมาณ 2 ปีจนกระเพาะชิน หลังจากนั้นก็ทำได้โดยไม่ต้องฝืน

แต่ ถ้าทำไม่ได้ อีกวิธีคือรับประทานเม็ดแมงลักเป็นอาหารเย็น โดยนำเม็ดแมงลักมาทำความสะอาด แล้วนำไปอบในเตาอบความร้อน 120 องศา เวลา 20 นาที จากนั้นตักเม็ดแมงลัก 2-3 ช้อนโต๊ะใส่ลงให้น้ำแกงจืด แล้วรับประทาน วิธีนี้ใช้ได้ผลกับผู้ที่อยากลดน้ำหนักด้วย ในระยะเวลา 1 เดือนน้ำหนักจะลดลงประมาณ 3-4 กิโลกรัม แต่ถ้าใครไม่ชอบเม็ดแมงลัก สามารถรับประทานแก้วมังกรแทนได้ ส่วนผู้สูงอายุที่งดอาหารเย็นไม่ได้ เพราะมีโรคประจำตัวต้องกินยาหลังอาหาร ให้รับประทานอาหารมังสวิรัติแทน

ส่วน ผศ.ดร.วิรชฎา บัวศรี คณะกรรมการพัฒนาผู้สูงอายุ ได้แนะนำการเตรียมความพร้อมก่อนสูงวัยว่า ต้องเตรียมพร้อมด้านสุขภาพ ควรดูแลด้วยการตรวจเช็คสภาพร่างกายอยู่เสมอ ด้านการเงินควรเตรียมพร้อมออมเงินตั้งแต่เนิ่นๆ ประมาณ 30 ปีขึ้นไป ด้านที่อยู่อาศัย เมื่อเข้าสู่วัย 50 ปี ควรวางแผนว่าบ้านหลังสุดท้ายจะอยู่ที่ไหน อยู่อย่างไร เช่น บ้านต้องอยู่ติดกับโรงพยาบาล หรืออยู่ติดกับแหล่งชุมชน สุดท้ายเรื่องภาระครอบครัว ต้องวางแผนเรื่องการดูแลคนในครอบครัวหรือวางแผนให้มีคนมาดูแล

เพียงแค่ดูแลร่างกายให้มีสุขภาพแข็งแรงและสามารถช่วยเหลือตัวเองได้ ก็เป็นผู้สูงอายุที่มีคุณภาพแล้ว...

ปัญหาผมร่วง



ปกติคนเราจะมีผมร่วง 10 - 50 เส้น/วัน ถ้าร่วงมากกว่า 50 - 100 เส้น/วัน ถือว่าผมร่วงผิดปกติปานกลาง ถ้ามากกว่า 100 เส้น/วัน ถือว่าผิดปกติรุนแรง
ปัจจัยที่ทำให้ผมร่วงได้แก่ กรรมพันธุ์ ความเครียด อาหาร ยา โรคติดเชื้อ สภาพแวดล้อม ฮอร์โมน เป็นต้น นอกจากนี้ยังพบว่าแชมพูทั่วไปแม้ทำความสะอาดเส้นผมได้ดี แต่ก็อาจก่อให้เกิดสะสมสารบางอย่าง เช่น แว๊กซ์ เรซิ่น ฯลฯ ซึ่งอาจทำให้รากผมเกิดการอุดตัน
รากผมจะล้อมรอบด้วยเส้นเลือด เส้นประสาท กล้ามเนื้อ ต่อมไขมัน และเซลล์ต่างๆ เลือดจะนำ ออกซิเจน อาหาร ไปเลี้ยงบริเวณรากผม หล่อเลี้ยงเซลล์ให้เจริญเติบโต เซลล์เมื่อได้รับสารอาหารโดยเฉพาะ อาหารจำพวกไบโอติน กรดอะมิโน ซีสเตอีน จะนำไปสร้างพันธะโปรตีนและเคราติน ซึ่งเป็นส่วนประกอบของ เส้นผม จากการศึกษาพบว่า บริเวณที่ผมร่วงมักมีขนาดและจำนวน เส้นเลือดที่ไปหล่อเลี้ยงเซลล์มีจำนวนลดลง
ช่วงชีวิตของเส้นผมมีอายุโดยเฉลี่ย 4 - 6 ปี กรณีได้รับสารอาหารไม่เพียงพอมีการอุดตันที่รากผมมี ฮอร์โมน D.H.T. มาก เส้นผมมักอ่อนแอและหลุดร่วงในที่สุด ปัจจุบันทางการแพทย์ค้นพบว่า ฮอร์โมน D.H.T. เป็นปัจจัยสำคัญในการทำให้เกิดผมร่วงแบบกรรมพันธุ์ (Male Pattern Baldness) D.H.T. ย่อมาจาก DIHYDROTESTOSTERONE (ไดไฮโดรเทสเทอสเตอโรน) ซึ่งได้จากการเปลี่ยนแปลงฮอร์โมน ANDROGEN (แอนโดรเจน) หรือฮอร์โมนเพศชาย TESTOSTERONE (เทสเทอสเตอโรน) โดยเอนไซม์ 5-ALPHA REDUCTASE (5 - อัลฟา รีดัคเทส) ที่หนังศีรษะ โดย D.H.T. จะไปจับกับตัวรับ (Receptor) บนเซลล์ เมมเบรนของรากผม มีผลทำให้เกิดการชลอการไหลเวียนของเลือดที่ไปเลี้ยงรากผม ทำให้สารอาหารไปเลี้ยงเซลล์ รากผมลดลง รากผมจะฝ่อและหลุดร่วงไปในที่สุด

การสังเกตปัญหาเส้นผม

ปัญหาผมร่วง

1. สังเกตดูว่าผมที่ร่วงนั้นมีตุ่มขาวๆที่ปลายหรือไม่ ถ้าไม่มี แสดงว่าผมเริ่มมีสภาพอ่อนแอ หลุดร่วงเร็วกว่าปกติ โดยปกติ เมื่อถึงระยะหลุดร่วง รากผมเก่าจะเลื่อนขึ้นและเซลล์จะรวมตัวเป็นตุ่ม คล้ายดอกบัว แล้วจึงผลัดออกไป ทำให้เห็นเป็นตุ่มขาวๆที่ปลายผม
2. สังเกตขนาดของเส้นผมว่า มีความบางหรือมีขนาดเท่าเดิม เมื่อเทียบกับผมปกติ หากบางลง แสดงว่ารากผมเริ่มอ่อนแอ ต้องเข้าสู่ขบวนการดูแลรักษาผมร่วง
3. นับจำนวนผมที่ร่วงว่ามากกว่า 50 เส้นต่อวันหรือไม่ ถ้ามากกว่าแสดงว่าผมเเริ่มมีสภาพร่วงผิดปกติ
4. ดูระยะห่างระหว่างเส้นผมแต่ละเส้น ว่ามีความหนาแน่นสมำ่เสมอหรือไม่ หรือมีระยะห่างๆกัน ถ้าห่าง แสดงว่าเริ่มมีปัญหาผมร่วง ผมบาง ต้องเข้าสู่ขวนการฟื้นฟู เส้นผม